จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

เลี้ยงกบ กระชังบก ต้นทุนต่ำ เสริมรายได้หลักหมื่นต่อเดือน เบญจวรรณฟาร์ม


เลี้ยงกบ กระชังบก ต้นทุนต่ำ เสริมรายได้หลักหมื่นต่อเดือน เบญจวรรณฟาร์มกบ 2 เดือนในกระชังบก
กบอบอ๊บ อาชีพเสริมสร้างรายได้ ถึงแม้ในฤดูฝนผลผลิตกบธรรมชาติจะออกมา แต่การเพาะเลี้ยงก็ยังคงต้องดำเนินไป จะเสียเปรียบหน่อยก็เป็นเพียงราคาที่ต่ำลง แต่เป็นเพราะเมนูกบ มีความต้องการบริโภคการเพาะเลี้ยงจึงต้องดำเนินควบคู่ไป

หลายๆ คนให้ความสนใจการเพาะเลี้ยงกบ มือใหม่เกิดขึ้นเยอะ ถือเป็นอาชีพเสริม ทดสอบความสามารถ การเลี้ยงในบ่อปูน การลงทุนสร้างบ่อค่อนข้างสูง ใช้พื้นที่เยอะพอสมควร แล้วถ้าไม่ใช่บ่อปูน เลี้ยงรูปแบบไหนได้บ้าง นี่คือคำถามของการเลี้ยงที่ต้องการลดต้นทุน
ยิ้มได้ เพราะการเลี้ยงกบในกระชังบก
นิตยสารสัตว์น้ำได้เสนอรูปแบบการเลี้ยงกบไปบ้างแล้ว ในฉบับนี้ขอแนะนำการเลี้ยงกบในกระชังบกของ คุณจุฑามาศ เบญจวรรณ ผู้ประดิษฐ์กระชังบกเลี้ยงกบเองใน อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
คุณจุฑามาศ กล่าวว่า ตนเองมีอาชีพทำนาและทำสวนมะม่วง เมื่อปี 2556 สนใจอาชีพการเลี้ยงกบเพื่อเสริมรายได้ จึงใช้กระชังแขวนตามร่องสวน ขนาด 2×3 เมตร ปล่อยกบลงเลี้ยงกระชังละ 1,000 ตัว เลี้ยงรูปแบบนี้อยู่ 2 ปี ทนไม่ไหวกับปัญหาตัวเงินตัวทองเข้ามารบกวนกบที่เลี้ยงในกระชัง และสังเกตเห็นฟาร์มกบละแวกใกล้บ้านทำกระชังบกขึ้นมาเพาะพันธุ์กบ ตนจึงนำมาดัดแปลงเย็บกระชังบกให้มีมุม 4 มุม ให้คล้ายกับกระชังเลี้ยงปลา เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน
การเลี้ยงกบที่ใช้น้ำน้อย
ข้อดีของการเลี้ยงกบในกระชังบก
กบสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กระชังบกถือเป็นการดัดแปลงจากวิธีเดิมที่นิยมเลี้ยงกัน ก็คือ รูปแบบการเลี้ยงในกระชัง ข้อดีของการเลี้ยงกบในกระชังร่องสวน กบจะโตดี ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติจากปัญหากวนใจ ซึ่งต้องยกพลขึ้นบก โดยการใช้พลาสติกรองก้นกระชังความสูงประมาณ 20 เซนติเมตร ล้อมรอบกระชังด้วยตาข่ายมุ้งเขียวความสูง 100 เซนติเมตร
รูปแบบนี้ถือเป็นรูปแบบการเลี้ยงตามความสะดวก เพราะขนาดกระชังสามารถกำหนดได้ตามพื้นที่ที่ต้องการ เพราะกบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ การทำสโลบพื้นลาดเอียงจะเป็นการสร้างพื้นบกและพื้นน้ำคนละฟากฝั่งได้ เป็นรูปแบบที่ใช้น้ำน้อย ประหยัดน้ำ ส่วนการ เปลี่ยนถ่ายน้ำ สะดวก ทำได้ง่าย เพียงแค่ปลดเชือกน้ำก็จะไหลออกมา
การเพาะพันธุ์กบในกระชังบก
การเพาะพันธุ์ส่วนมากแล้วจะใช้รูปแบบการเพาะในบ่อปูนที่ได้เปรียบในเรื่องของการจัดการ ดูแล แต่สำหรับกระชังบกก็ทำได้เช่นกัน คุณจุฑามาศจะใช้กระชังขนาด 2×5 เพาะพันธุ์กบ 5 คู่ โดยพ่อแม่พันธุ์ที่จะนำมาเพาะจะคัดเลือกกบที่มีรูปร่างสวย สมบูรณ์ ที่เลี้ยงได้ในแต่ละรอบ มีคนแยกออกมาเลี้ยงให้ได้อายุ 1 ปี ขึ้นไป มาปล่อยในช่วงเย็น ให้ผสมพันธุ์กันเอง โดยไม่ต้องใช้ฮอร์โมนกระตุ้นแต่อย่างไร อย่างในหน้าฝนการเพาะพันธุ์จะทำได้ง่าย เพราะถือเป็นฤดูกาลของกบอย่างแท้จริง
เช้าวันรุ่งขึ้นก็ทำการแยกพ่อแม่พันธุ์ออกจากไข่ ไข่จะใช้เวลา 24 ชั่วโมง ฟักออกมาเป็นตัว
อาหารที่มใช้ในการเลี้ยงกบ
อาหารสำหรับลูกอ๊อด
ลูกอ๊อดขนาดเล็ก การจะให้กินอาหารเม็ดติดปัญหาในเรื่องขนาดที่ใหญ่กว่าปาก คุณจุฑามาศเลือกใช้อาหารไฮเกรดผสมกับน้ำ ใช้อาหารอ่อนตัว แล้วนำมาปั้นเป็นก้อน ใช้อาหารปั้นก้อนเลี้ยงลูกอ๊อด 1 สัปดาห์ แล้วจึงปรับเปลี่ยนไปเป็นการหว่านอาหารเม็ด โดยเลือกใช้ อาหารกบของ บริษัทกรุงไทยอาหาร จำกัด (มหาชน) ให้อาหารวันละ 2 มื้อ ใช้เวลาอนุบาลลูกอ๊อดไปเป็นลูกกบ 30 วัน สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ กระชังขนาด 2×5 ได้ผลผลิตออกจำหน่าย 2,000-3,000 ตัว จำหน่ายเดือนละ 2-3 หมื่นตัว
รูปแบบการเลี้ยงกบในกระชังบก
จากคุณสมบัติที่ดี ทำให้รูปแบบการเลี้ยงกบ วิธีการนี้มีความน่าสนใจสำหรับคนเลี้ยงกบมือใหม่ ให้ได้ทดลองเลี้ยง ขนาดกระชัง ที่สามารถเลี้ยงได้ จะเลี้ยงที่ขนาด 2×3 เมตร ปล่อยกบได้ 1,000 ตัว กระชังบกขนาด 2×4 เมตร ปล่อยกบได้ 1,500 ตัว และกระชังขนาด 2×5 เมตร ปล่อยลูกได้ 2,000 ตัว สามารถเลี้ยงได้จนกบโต
อาหารกบ จะให้วันละ 2 มื้อ เดินให้รอบเดียว ในปริมาณที่กบกินอิ่ม ไม่เน้นการให้อาหารเยอะ จะทำให้กบท้องอืด อัตรารอดจะต่ำ
การเปลี่ยนถ่ายน้ำ จะทำวันเว้นวัน โดยการใช้สายยางฉีดล้างทำความสะอาดของเสีย
การคัดไซส์ การคัดไซส์ใน 1 กระชัง จะคัด 3 ไซส์ เล็ก, กลาง, ใหญ่ จะคัดกบอายุ 1-2 เดือน เพื่อลดปัญหาการแตกไซส์ กัดกินกันเอง เป็นการเพิ่มอัตรารอด
การป้องกันโรค การเลี้ยงกบในกระชังบกจะง่ายต่อการทำความสะอาด ไม่แตกต่างจากการเลี้ยงในบ่อปูน เรื่องของการเกิดโรคแทบจะไม่เป็นปัญหา ที่จะมีบ้างก็เป็นการกัดกินกันเอง กบหนาแน่นจนเกินไป ทำให้กบตาย และถ้ากบกินอาหารมากเกินไป ท้องอืด จะพบการตายบ้าง แต่ไม่มาก เพราะสามารถควบคุมได้ กระชัง/กระชัง
ผลผลิต กระชังขนาด 2×5 ปล่อยลูกกบ 2,000-2,500 ตัว จะได้ผลผลิต 150-200 กิโลกรัม ใช้ระยะเวลาการเลี้ยง 3 เดือนครึ่ง สามารถทยอยจำหน่ายผลผลิตออกได้ สำหรับตลาดภายในประเทศ จะบริโภคกบไซส์ 4-5 ตัว ส่วนตลาดต่างประเทศที่พ่อค้ามารับไปส่ง จะบริโภคกบขนาดไม่ใหญ่มาก อยู่ที่ไซส์ 6-8 ตัว/ก.ก.
กบ 2 เดือนในกระชังบก
กบสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ปัจจุบันมีการพัฒนาไขว้สายพันธุ์ เพื่อให้กบใช้ระยะเวลาการเลี้ยงสั้นลงมีการเจริญเติบโตที่ดี ตลาดผู้บริโภค ยังมีความต้องการสูงสามารถเลี้ยงได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่มีกำไรจะเป็นช่วงต้นปี ประมาณเดือน ม.ค-พ.ค ราคาจะขยับสูงขึ้นเกษตรกรที่สนใจ ต้องมีการวางแผนและศึกษาตลาดให้ดีก่อนลงมือเลี้ยง
รูปแบบการเลี้ยงกบในกระชังบกถือเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับเกษตรกรที่ต้องการสร้างอาชีพเสริม ในพื้นที่จำกัดสามารถเลือกขนาดกระชังบกได้ตามความเหมาะสม เบญจวรรณ ฟาร์มกบกระชังบก จำหน่ายกระชังบกเย็บมือตามขนาดต้องการ และลูกกบพร้อมลงกระชัง เกษตรกรที่สนใจสามารถเข้าไปเรียนรู้รูปแบบการเลี้ยงกบได้ที่ เบญจวรรณ ฟาร์มกบกระชังบก 1/2 ม.3 ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี หรือโทร.09-8450-5480 หรือทาง www.facebook.com/ben.benjawan.
tags: การเลี้ยงกบ วิธีเลี้ยงกบ เลี้ยงกบ วิธีเลี้ยงกบในกระชัง เลี้ยงกบ กระชังบก เลี้ยงกบขาย วิธีเลี้ยงกบขาย เบญจวรรณฟาร์ม การเลี้ยงกบ วิธีเลี้ยงกบ เลี้ยงกบ

ลุยสวนฝรั่งบ้านแพ้ว…อยู่กับฝรั่งเดือนเดียวมีรายได้มากกว่าทำงานบริษัททั้งปี

ลุยสวนฝรั่งบ้านแพ้ว…อยู่กับฝรั่งเดือนเดียวมีรายได้มากกว่าทำงานบริษัททั้งปี
ลุยสวนฝรั่งบ้านแพ้ว ...อยู่กับฝรั่งเดือนเดียวมีรายได้มากกว่าทำงานบริษัททั้งปี

เรื่องจริงไปพิสูจน์มาแล้ว …ความเดิมก็คือว่าได้อ่านข้อเขียนของคุณหนึ่งฤทัย แพรสีทอง จากนิตยสารรักษ์เกษตรได้เขียนเรื่องราวของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการปลูกฝรั่งพันธุ์กิมจู ก็ทำให้เกิดความสนใจ ยิ่งแปลงปลูกอยู่อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการปลูกไม้ผลหลายชนิด ก็ยิ่งทำให้ต้องรีบไปดูในทันที…อีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนก็คือว่า ฝรั่งกิมจูสวนนี้ได้รับรางวัลทั้งชนะเลิศ รองชนะเลิศ ในการประกวดฝรั่งกิมจูงานเกษตรแฟร์ประจำปี 59 สดๆร้อนๆเลยละ
เกษตรก้าวไกลดอทคอม ลุยสวนฝรั่งกิมจู...รางวัลชนะเลิศงานเกษตรแฟร์ 59
เกษตรก้าวไกลดอทคอม ลุยสวนฝรั่งกิมจู…
เธอเป็นใครมาจากไหนและทำไมต้องมาปลูกฝรั่ง? “หลังจากเรียนจบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ก็เข้าทำงานบริษัทในเมืองได้ไม่นานนัก ก็ลาออกมาช่วยพ่อแม่ทำสวน  ซึ่งที่บ้านทำสวนกว่า 30 ไร่ พืชหลักที่ปลูกก็คือมะม่วง แซมด้วยชมพู่ และฝรั่ง แต่หลังจากที่ได้มาลองทำเองก็เห็นได้ว่าพืชที่ปลูกทั้งหมด ฝรั่งน่าสนใจที่สุด เพราะมะม่วงที่ทำมานานนั้นพื้นที่ 30 ไร่ มีรายได้เพียงปีละ 2-3 แสนบาทเท่านั้น เพราะเป็นมะม่วงพันธุ์ทั่วไปที่เน้นขายป้อนตลาดขายส่ง ขณะที่ฝรั่งสามารถให้ผลผลิตเร็ว เพียง 8 เดือนก็จะสามารถตัดลูกชุดแรกได้แล้ว อีกทั้งผลตอบแทนก็สูง จึงตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่สวนที่ปลูกพืชหลายอย่างมาเน้นหนักฝรั่งและปลูกฝรั่งมาตลอด”
ครอบครัวฝรั่งกิมจู
ครอบครัวฝรั่งกิมจู

ฝรั่ง 10 ไร่ ทำเงินล้าน/ต่อปี จึงขยายเป็น 24 ไร่

ชาวสวนหลายคนที่ทำสวนฝรั่งอาจไม่ได้เก็บข้อมูลตัวเลขการลงทุนและรายได้ แต่คุณวราภรณ์เก็บข้อมูลไว้หมด ซึ่งทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนของการทำสวนฝรั่งได้เป็นอย่างดี เธอบอกว่า ฝรั่งเป็นพืชที่ให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปีเลยทีเดียว โดยจะมีผลผลิตชุดใหญ่ๆอยู่ประมาณ 3 ชุดต่อปี อย่างชุดตรุษจีนที่ผ่านมาซึ่งเป็นชุดใหญ่ พื้นที่ 10 ไร่ สามารถเก็บเกี่ยวได้มากถึง 44,000 กก. ในช่วงเวลาการเก็บ 5-6 วัน(หมดชุด)ราคาช่วงนั้น 25-35 บาท/กก. ชุดเดียวทำเงินไปเฉียด 1 ล้านบาทเลยทีเดียว โดยฝรั่ง 10 ไร่จะลงทุนต่อ 1 ชุดเพียงแสนกว่าบาทเท่านั้น
“คิดว่าตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกเป็นชาวสวน เพราะรายได้จากการปลูกฝรั่งเพียงเดือนเดียวมันมากกว่ารายได้ที่ทำงานบริษัททั้งปีซะอีก…สุดท้ายได้ขยายพื้นที่ปลูกฝรั่งถึง 24 ไร่ จากทั้งหมด 30 ไร่ ที่เหลือก็แบ่งไปปลูกพืชอย่างอื่นนิดหน่อย”

วางแผนการผลิตให้ตรงกับช่วงแพง

แปลงปลูกฝรั่งของคุณวราภรณ์จะมีอยู่ 2 แปลง แปลงหนึ่ง 14 ไร่ อีกแปลง 10 ไร่ เธอบอกว่า พืชทุกชนิดจะมีช่วงราคาถูก แพงในรอบปี ฝรั่งก็เช่นเดียวกัน มักจะมีราคาถูกในช่วงหน้าร้อนต่อต้นฝนหรือเดือน มี.ค.-มิ.ย. ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลใหญ่ของผลไม้บ้านเรา เป็นที่รู้กันว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มะม่วง เงาะ ทุเรียน มังคุดบุกตลาด เมื่อนั้นผลไม้ชนิดอื่นแทบหมดความสำคัญ และช่วงนั้นจะเป็นช่วงราคาตกต่ำของผลไม้ ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับราคาช่วงนี้ก็หลีกเลี่ยงที่จะให้มีผลผลิตเก็บขายได้ช่วงนี้ ดังนั้นช่วงนี้คุณวราภรณ์จะไม่ห่อผลฝรั่งเลย เพราะว่าราคาฝรั่งจะไม่ไกลไปกว่า 10 บาท/กก. (ราคาหน้าสวน)
ส่วนช่วงที่ฝรั่งมักมีราคาแพงจะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีผลไม้ชนิดไหนออกสู่ตลาดอย่างช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค. ช่วงนั้นราคาฝรั่งจะสูงถึง 30-40 บาท/กก. (หน้าสวน) กับอีกช่วงคือ ม.ค.-ก.พ.ซึ่งมีเทศกาลต่างๆมาก การวางแผนจะให้ฝรั่งเก็บได้ช่วงไหนก็นับย้อนไป 5 เดือนแล้วโน้มกิ่งให้ฝรั่งแตกยอดใหม่เพื่อที่จะให้ผลผลิต หรือนับจากห่อผลก็ 3 เดือนสามารถเก็บเกี่ยวได้
รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ
รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ

เทคนิคการดูแลสวนฝรั่งเพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพ

คุณวราภรณ์เล่าถึงการดูแลฝรั่งที่สวนว่า ฝรั่ง 1 ไร่ สามารถปลูกได้ 150-200 ต้น ขึ้นกับสภาพพื้นที่ปลูก และระยะปลูก ที่ปลูกเป็นแบบยกร่อง เนื่องจากเป็นเขตที่ลุ่ม ขนาดร่อง 2 เมตร บนร่องปลูก 2 แถว แบบสลับฟันปลา ระยะปลูกประมาณ 1.5 เมตร ฝรั่งจะเริ่มเก็บได้เมื่ออายุ 8 เดือนหลังปลูก โดยในรอบ 1 ปี จะทำชุดใหญ่ 3 ชุด โดยชุดที่จะมีราคาแพงที่สุดจะเป็นชุดที่เก็บเกี่ยวเดือน ส.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นฝรั่งที่จะต้องโน้มกิ่งในช่วงต้นเดือนมีนาคม การโน้มกิ่งฝรั่งจะทำให้ฝรั่งแตกยอดพร้อมกับออกดอกบนกิ่งที่โน้ม โดยจะโน้มกิ่งให้ราบขนานกับพื้นแล้วผูกมัดกิ่งกับหลักไม้ไผ่ พร้อมกับตัดปลายกิ่งเพื่อหยุดการแตกยอดหรือหยุดการเจริญเติบโตของยอดหรือที่ชาวสวนเรียกการหักยอด หรือขลิบยอด ซึ่งฝรั่งจะติดดกหรือไม่นั้นก็ขึ้นกับความสมบูรณ์ของต้น
“หลักการของเราคือต้องดูแลให้ฝรั่งมีต้นสมบูรณ์ตลอดทั้งปี โดยหลังจากโน้มกิ่งแล้วจะใส่ปุ๋ย 25-7-7 พื้นที่ 10 ไร่ ใส่ประมาณ 3 กระสอบ หลังจากนั้นอีก 15 วัน ใส่ 16-16-16 อัตราเดิม เมื่อผลโตขนาดเท่าผลส้มจะเปลี่ยนมาใส่ขี้ค้างคาวอัดเม็ดและปุ๋ยอินทรีย์เคมีอัดเม็ดที่มีธาตุอาหารแคลเซียม แมกนีเซียมเป็นส่วนประกอบ(ไบโอฟีด ของ เคโมคราฟ) ซึ่งจะทำให้ฝรั่งผิวสวย ฝรั่งผิวออกขาว ไม่เขียวและรสชาติหวาน กรอบ เนื้อฟู ทางใบพ่นน้ำส้มควันไม้อย่างต่อเนื่องทุก 7-10 วัน เพื่อช่วยในด้านการเจริญเติบโต ความสมบูรณ์ของต้นและยังช่วยป้องกันแมลงอีกด้วย”
    นอกจากนี้จะต้องพ่นแคลเซียม-โบรอนไม่ให้ขาด จะช่วยทั้งเรื่องเพิ่มความสมบูรณ์ของดอก เพิ่มการติดผลดก ขั้วเหนียว ผลกรอบ รสชาติหวาน และช่วงใกล้เก็บเกี่ยวเสริมน้ำตาลทางด่วนเพื่อเพิ่มรสชาติช่วยอีกแรง นอกจากนี้จะมีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อช่วยปรับสภาพโครงสร้างดินเป็นระยะๆ ปีละ 3 ครั้ง การพ่นสารเคมีกำจัดโรค-แมลง จะพ่นหนักหน่อยในช่วงก่อนห่อผล 7 วันหลัง แต่หลังห่อผลแล้วก็จะพ่นห่างหน่อย สารเคมีที่ใช้ก็จะเป็นยาพื้นๆ อย่างคลอร์ไพรีฟอส ไซเปอร์เมทริน เมโทมิล สารกำจัดเชื้อราก็ใช้เพียงแมนโคเซ็บ คาร์เบนดาซิม นอกจากว่าเจอโรค-แมลงที่หนักๆ จึงจะใช้ยาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไรรุนแรง ส่วนการให้น้ำจะให้ 2 วันครั้ง ช่วงร้อนๆอย่างนี้จะให้น้ำทุกวัน…
การห่อผลเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นมากๆ “เมื่อผลขนาดเท่าเหรียญ 10 บาท จะห่อผลเพื่อป้องกันแมลงวันทองโดยใช้ถุงพลาสติกที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันแมลงวันทองโดยเฉพาะ แล้วห่อทับด้วยกระดาษอีกชั้นเพื่อให้ผิวสวย…. ฝรั่ง 1 ต้น จะห่อไม่เกิน 100 ลูก ถ้าเลือกไว้ผลมากเกินไป จะทำให้ผลมีขนาดเล็กได้”
เรื่องแรงงานก็เป็นเรื่องสำคัญ เห็นกำลังตัดและคัดฝรั่งอยู่หลายคน “ฝรั่งเป็นพืชที่ต้องใช้แรงงานเยอะอยู่ 3 ช่วง คือ ช่วงโน้มกิ่ง จะหนักหน่อยก็ช่วงห่อ ฝรั่ง 10 ไร่ วันหนึ่งต้องห่อ 7-8 คน และต้องห่อ 2-3 วันจึงจะเสร็จ ถ้าให้เสร็จวันเดียวต้องจ้างมากถึง 20-25 คน และต้องเป็นแรงงานที่มีความชำนาญด้วย อีกช่วงคือ ช่วงเก็บฝรั่งก็ใช้ 4-5 คน”
เอาใจใส่...ดูแลอย่างดี
ฝรั่งที่นี่ดูแลเอาใจใส่อย่างดี

ฝรั่งมีอายุ 5-6 ปี ก็จะรื้อแปลงปลูกใหม่

ฝรั่งที่ปลูกจะมีอายุการเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 5 ปี ต้นก็จะเริ่มโทรมการให้ผลผลิตก็จะสู้ต้นสาวๆ หรือต้นอายุน้อยๆไม่ได้ ประกอบกับหลายสวนมีปัญหาฝรั่งตายต้นจากไส้เดือนฝอย แต่ที่สวนยังไม่มีปัญหา เราจะต้องปรับปรุงดินให้สมบูรณ์ ร่วนซุย ไม่มีความเป็นกรดมากเกินไปก็จะช่วยลดความรุนแรงของการระบาดลงไปได้
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาจึงทำให้ชาวสวนฝรั่งมักจะรื้อแปลงปลูกใหม่เมื่อฝรั่งอายุ 5-6 ปี จึงทำให้เราเห็นแปลงฝรั่งแปลงใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่ตลอดในพื้นที่เขตนี้
ฝรั่งที่ปลูกใหม่จะใช้กิ่งตอนที่เลือกตอนจากกิ่งกระโดงที่สมบูรณ์ โดยที่สวนของคุณวราภรณ์ได้ทำกิ่งพันธุ์ขายด้วย (แต่ช่วงนี้กิ่งฝรั่งขาดแคลน ต้องสั่งจองล่วงหน้า) ราคากิ่งพันธุ์ที่จำหน่าย 12 บาท/กิ่ง กรณีพื้นที่ปลูก 1 ไร่ ประมาณ 150-200 ต้น ซึ่งลงทุนเพียง 2,000 กว่าบาทต่อไร่ ถือว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับพืชอย่างอื่น อีกทั้งยังมีต้นทุนในการดูแลไม่มาก แต่ผลตอบแทนสูงมาก ชาวสวนเขตนี้จึงยังปักหลักปลูกฝรั่งมาตลอดหลายสิบปี ยิ่งช่วง 4-5 ปีมานี้ราคาฝรั่งดีมาก ทำให้คนที่เคยปลูกพืชอื่นหันมาปลูกฝรั่งกันมากขึ้น และแพร่กระจายไปในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าราคาฝรั่งอาจจะตกลงมาบ้าง
แต่เมื่อสรุปสุดท้ายก็ยังดีกว่าพืชหรือไม้ผลตัวอื่นๆ เพราะฝรั่งยังแปรรูปได้และเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพนั่นเอง
ขอบคุณ : ข้อมูลเดิมจากกลุ่มเกษตรก้าวใหม่ new  โดย Rakkaset Nungruethail (คุณหนึ่งฤทัย แพรสีทอง) บรรณาธิการ นิตยสารรักษ์เกษตร
หมายเหตุ : สวนฝรั่งคุณวราภรณ์ ขุนพิทักษ์ โทร. 087 9981131

มะเฟือง ผลไม้สุขภาพ สร้างรายหลักแสนต่อ


มะเฟือง ผลไม้สุขภาพ สร้างรายหลักแสนต่อเดือน

มะเฟือง ผลไม้สุขภาพ สร้างรายหลักแสนต่อเดือน

mcotสนับสนุนเนื้อหา
     เกษตรกร อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม หันมาปลูกมะเฟือง หรือสตาร์ฟรุต ผลไม้ที่มีวิตามินหลายชนิด กำลังเป็นที่นิยมของกลุ่มคนรักสุขภาพ แต่ละเดือนมีพ่อค้าแม่ค้ามาสั่งจองล่วงหน้า
     คนงานในสวนพี่สุรพิณ เร่งเก็บผลมะเฟือง หรือสตาร์ฟรุต ที่สุกได้ขนาด โดยเลือกผลที่มีลักษณะเขียวอมเหลือง ไม่สุกจัดจนเกินไป มะเฟืองสวนนี้เป็นสายพันธุ์มาจากมาเลเซีย พันธุ์บี17 จะให้ลักษณะผลที่ใหญ่กว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม อีกทั้งยังมีรสชาติที่หวานเป็นที่ต้องการของตลาด
     พี่สุรพิณบอกว่า มะเฟืองเป็นผลไม้ที่ดูแลง่าย มีเทคนิคให้ออกผลดกคือต้องปลูกห่างกันต้นละ 3 เมตร พื้นที่ระหว่างต้นต้องรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันแมลง รดน้ำเพียงวันละครั้ง เมื่อผลมะเฟืองออกมาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ใช้ถุงพลาสติกห่อป้องกันแมลง ใส่ปุ๋ยชีวภาพร่วมกับปุ๋ยเคมีทุก 30 วัน ที่สำคัญคือการใช้เกลือช่วยปรับปรุงดิน
     ในทุกเดือนสวนมะเฟืองแห่งนี้จะมีพ่อค้าแม่ค้าติดต่อสั่งจองผลผลิตมาอย่างต่อเนื่อง ราคาขายหน้าสวนอยู่ที่กิโลกรัมละ 20 -25 บาท ในเนื้อที่ 10 ไร่สามารถสร้างเม็ดเงินได้ถึงหลักแสนบาทต่อเดือน
     ในมะเฟือง 1 ผล อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี2 ไนอะซีน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและพลังงาน.



ที่มา : http://money.sanook.com/312103/

บวบงูเงินแสน



บวบงูเงินแสน

บวบงูเงินแสน

mcotสนับสนุนเนื้อหา
ชาวบ้านหลายครอบครัวใน อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น หันมาปลูกบวบงู เป็นทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม โดยมีพ่อค้าคนกลางไปรับซื้อถึงบ้าน ทำให้มีความเป็นอยู่ที่ดี

สองฟากฝั่งริมคลองย่อยแม่น้ำพอง บ้านหนองแสง ต.ท่ากระเสริม เป็นหนึ่งในหมู่บ้านเขต อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ที่ชาวบ้านปลูกบวบงูเป็นจำนวนมาก ทั้งยึดเป็นอาชีพหลัก และอาชีพเสริม บวบงูมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น บ้างก็ว่า หมากป้องแป้ง หมากโงงิ้วหรือกระดิ่ง เป็นต้น โดยคนนิยมนำไปลวกกินกับน้ำพริก แม่หู้ สมบัติมี ปลูกบวบงูมากว่า 10 ปีแล้ว ราคาต่ำสุดที่เคยประสบคือกิโลกรัมละ 7 บาท
ปัจจุบันพ่อค้ามารับซื้อที่บ้านให้กิโลกรัมละ 10-12 บาท หากปีใดบวบงูขาดตลาดจากปัญหาน้ำท่วม ราคาจะพุ่งสูงกว่าเท่าตัว เคยได้ราคาสูงสุดถึงกิโลกรัมละ 24 บาท แม่หู้ใช้ที่ดิน 8 ไร่ หมุนเวียนปลูกบวบงูตลอดทั้งปี โดยปลูกครั้งละ 2 ไร่ ลงทุนหมื่นเศษ ขายผลผลิตได้รุ่นละ 50,000-60,000 บาท

จากต้นอ่อนอายุ 4 วัน ลงแปลงปลูกยกร่องไม่ให้น้ำท่วมขัง เถาของมันก็จะแตกยอดเลื้อยเกาะเกี่ยวไปตามค้างอย่างรวดเร็ว เพียงเดือนครึ่งก็ได้เก็บผลผลิตไปจำหน่าย หลังจากนั้นบวบงูจะทยอยออกให้เก็บทุกวันตลอด 2 เดือน พื้นที่ราว 2 ไร่ จะเก็บได้ถึงวันละกว่า 100 กิโลกรัมเดือนที่ 3 ใกล้หมดรุ่น จึงได้เก็บแบบวันเว้นวัน เกษตรกรรายนี้พอใจอย่างมากที่มีเงินเข้ากระเป๋าทุกวัน วันละกว่า 1,000 บาท ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ดีกว่าพืชผักหลายชนิด
ทุกอย่างล้วนมีอุปสรรค หากบวบงูรุ่นใดถูกศัตรูพืชโจมตีหนัก แล้วเกษตรกรดูแลไม่ดีพอก็มีสิทธิ์ขาดทุนได้เช่นกัน บวบงูต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดในทุกช่วงการเจริญเติบโตเพื่อความสมบูรณ์ นำมาสู่ดอกผลตอบแทนเกษตรกรอย่างเต็มที่.-สำนักข่าวไทย


ที่มา : http://money.sanook.com/313877/

มะละกอทำเงิน 1 ไร่ ได้ 5 แสน




ส.ค.-ต.ค.ทุกปีมะละกอจะแพง เพราะเป็นช่วงที่ให้ผลผลิตน้อยตามธรรมชาติ ราคาหน้าสวนเบอร์เอ ปกติ กก.ละ 30-40 บาท แต่ปีนี้แพงที่สุดในรอบ 20 ปี รับซื้อกันที่45-50 บาท ราคาขายส่งตลาดไทขยับขึ้นไปถึง กก.ละ 70-80 บาท...สาเหตุหลักมาจากภัยแล้งเมื่อต้นปี
“มะละกอที่เก็บช่วง ส.ค.-ต.ค. ต้องออกดอกในช่วงแล้ง มี.ค.-เม.ย. เมื่อออกดอก ส่วนใหญ่จะร่วง ผลเลยติดน้อย อีกทั้งช่วงแล้งขาดน้ำในช่วงออกดอกและติดผล มะละกอที่เหลือรอดลูกเล็ก ผิวหยาบกระด้างเหี่ยวย่น เก็บได้ไม่นาน ตลาดไม่เอา ที่สำคัญช่วงแล้งยังทำให้ดอกมะละกอมีแต่เกสรตัวเมีย ไร้ตัวผู้ คนปลูกจึงไม่มีลูกให้ขาย”



แต่หากเกษตรกรวางแผนการผลิตที่ดี ธีรยุทธ มนตรี เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี บอกว่า... นี่คือโอกาสรับทรัพย์ของเกษตรกร 

จะทำให้มะละกอมีดอกผลในช่วงราคาแพงได้ ก่อนอื่นต้องวางแผนการผลิตให้ดี โดยต้องปรับเปลี่ยนการปลูกเป็นช่วง พ.ย.-ธ.ค. เพื่อให้ออกดอกในช่วง มี.ค.-เม.ย. และเก็บได้ช่วงราคาแพงคือ ส.ค.-ก.ย....ช่วงออกดอก อากาศร้อนมาก มักมีปัญหาดอกร่วงหรือไม่ออกดอก ฉะนั้นน้ำต้องถึง ความชื้นต้องสูง 

“เราต้องลดความร้อน และเพิ่มความชื้นในอากาศ โดยการติดตั้งสปริงเกอร์ในแปลง ให้มีระดับความสูงของสปริงเกอร์ในตำแหน่งที่มะละกอออกดอกติดผล หรือสูงประมาณ 1.5-2 เมตร เพราะต้องให้ดอกและผลชุ่มชื่นอยู่เสมอ อย่าให้ขาดน้ำ”



สำหรับพื้นที่มีปัญหาน้ำน้อยหรือไม่สามารถหาน้ำในฤดูแล้งได้ ธีรยุทธ แนะนำให้เลื่อนเวลาปลูกมาเป็นช่วง ก.ย.-พ.ย. เพื่อให้ออกดอกในช่วงที่ไม่ร้อนเกินไป เพราะมะละกอจะเริ่มออกดอกหลังปลูกประมาณ 2-3 เดือน เก็บผลได้นาน 4-7 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่การดูแลให้ต้นสมบูรณ์แค่ไหน แม้ช่วงนี้ราคามะละกอจะไม่สูงมากนัก แต่เป็นวิธีที่ทำให้เรามีมะละกอออกจากสวนไปทำเงินได้บ้าง

ส่วนการเลี้ยงบำรุงเพื่อเสริมการออกดอกติดผล ธีรยุทธ ใช้วิธีให้ปุ๋ยทางดิน สูตรตัวท้ายสูง ร่วมกับฉีดพ่นปุ๋ยเกล็ดทางใบ สูตรตัวท้ายสูงเช่นกัน รวมทั้งให้ธาตุอาหารรองจำพวกแคลเซียม โบรอน เพื่อให้ดอกตัวเมียบานนานขึ้น มีโอกาสติดผลมากขึ้น



ถ้าทำได้อย่างนี้ มะละกอ 1 ไร่ ใช้เงินลงทุน 15,000-20,000 บาท ปลูก 8 เดือน เก็บผลผลิตได้เดือนละ 8 ครั้ง ครั้งละ 300 กก.นาน 8 เดือน...แค่นำออกมาขายในช่วง 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค.) ที่ขายได้ กก.ละ 45 บ. เป็นเงิน 324,000 บาท นี่ยังไม่นับอีก 5 เดือน ที่เหลือ ขายได้ กก.ละ 15 บาท เป็นเงินอีก 180,000 บาท 

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/730836